ต่าย อรทัย สัมภาษณ์ อัลบั้มใหม่

เอเวอเรสต์ในป่าปูนที่ชื่อ ต่าย อรทัย

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้เป็นการพูดคุยในช่วงปี 2561
เรื่อง หัทยา ภูดี

เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพูดถึง ต่าย อรทัย โดยไม่หยิบยกเรื่องยอดขายล้านตลับ ชีวิตต้องสู้ในฐานะสาวโรงงาน ก่อนจะมาเป็นนักร้องเงินล้าน หญิงสาวใจซื่อจากท้องนา อำเภอนาจะหลวย ราชินีดอกหญ้าผู้แทบไม่มีภาพใส่เสื้อแขนกุดหลุดมาให้เห็น รวมถึงความเป็นสัญลักษณ์ของศิลปินลูกทุ่งพอเพียงและกตัญญู

สิ่งที่พูดมาทั้งหมดข้างต้นล้วนถูกต้อง

ในอีกด้าน ต่าย อรทัย คือผู้หญิงธรรมดาสามัญ-วัยใกล้เคียงกัน-จากภาคอีสาน ที่ไขว่คว้าความฝันของตนเองจนสำเร็จ

รวมทั้งเธอยังเป็นสัญลักษณ์ของความหวังของผู้คนที่ฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าเดิม

และนั่นคือสิ่งพื้นฐานที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะนึกฝันและปรารถนาได้

เธอคือแรงใจ เธอคือยาใจ และเธอคือเอเวอเรสต์ในป่าปูนของคนไกลบ้าน

คุณเพิ่งไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ยุโรปมากับคุณไผ่ พงศธร เป็นยังไงบ้างคะ

ก็ดีค่ะ ปีนี้ไม่ได้ไปนานเท่าไหร่ ประมาณ 11 วันเท่านั้น จัด 5 โชว์ ที่เยอรมนี นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ จัดที่นอร์เวย์ 2 โชว์

แฟนเพลงที่ยุโรปต่างจากที่เมืองไทยไหม พวกเขาเป็นกลุ่มไหน

ส่วนมาก 80-90% จะเป็นคนไทยที่ไปอยู่ที่นู่น ไทยภาคกลาง ไทยอีสาน หรือไทยภาคอื่นๆ ที่แต่งงานอยู่ที่นู่น เขาจะมากันเป็นครอบครัว เพราะโดยส่วนมากคอนเสิร์ตจะจัดวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาก็จะพาครอบครัวมาพักผ่อน

คอนเสิร์ตที่ยุโรปจัดงานแบบไหน จัดอินดอร์หรือเอาต์ดอร์

แล้วแต่สถานที่นั้นๆ ค่ะ แต่ส่วนมากถ้าเป็นวันศุกร์-เสาร์จะจัดอยู่ในฮอลล์หรือร้านอาหาร ทางเจ้าภาพจะประเมินว่าจะจองฮอลล์กว้างขนาดไหน จุคนได้กี่คน ถ้าจัดที่ร้านอาหารก็ต้องประเมินและวางแผนจำนวนคนเช่นกัน บัตรมักจะเปิดขายล่วงหน้า แต่มีส่วนที่มาซื้อหน้างานบ้าง ถ้าเป็นวันอาทิตย์จะจัดเอาต์ดอร์ได้ โดยเริ่มเช้าแล้วจบที่หัวค่ำพอดี ไม่เลิกดึก เพราะทุกคนต้องไปทำงานวันจันทร์ อย่างตอนไปเยอรมนี งานจัดวันอาทิตย์พอดี แถมตรงกับหน้าร้อนด้วย ปีนี้ร้อนกว่าทุกปีที่เคยไป ร้อนกว่าบ้านเราอีกค่ะ เสื้อกันหนาวที่ต่ายเตรียมไปไม่ได้ใช้เลย ต้องไปซื้อเสื้อยืดใหม่ที่นู่นหมด

ปกติมีชาวต่างชาติมาดูด้วยไหมคะ

มีค่ะ เป็นครอบครัวที่เขามีภรรยาเป็นคนไทย อาจจะคุ้นเคยจากการที่ภรรยาเล่าถึงหรือเคยฟังเพลงที่ภรรยาเปิด บางคนก็จะรู้ว่าภรรยาชอบศิลปินชื่อต่าย อรทัย พอเรามาจัดงาน เขาเลยซื้อบัตรให้เป็นของขวัญภรรยาก็มี จูงกันมาเป็นครอบครัว น่ารักดีค่ะ

ไปทัวร์อย่างนี้ ช่วงวันจันทร์ถึงพฤหัสบดีที่ไม่ได้ทำงาน คุณไปเที่ยวไหนบ้าง

ที่นอร์เวย์กับเดนมาร์กไม่ได้เที่ยวเลยค่ะ แต่ได้ไปเที่ยววิหารโคโลญที่เยอรมนี สวยและกว้างมาก เขาบอกว่าทางเข้าวิหารทั้ง 4 ด้านจะไม่เหมือนกันเลย เราเดินได้แค่ 2 ด้านก็เดินไม่ทั่วแล้ว เหนื่อย (หัวเราะ) แต่อึ้งกับความยิ่งใหญ่อลังการมากค่ะ จากนั้นได้ไปเล่นหิมะ เป็นจุดที่อยู่ระหว่างรอยต่อสวิตเซอร์แลนด์กับอิตาลี เราไปช่วงหน้าร้อน แต่บนเขายังหนาวอยู่ แถมฝนยังตกมาด้วย ต่ายใส่เสื้อแขนสั้นไปเพราะข้างล่างร้อนมาก แต่พอขึ้นข้างบนคือหนาวสั่น จากนั้นแวะเที่ยวอิตาลี เยี่ยมชมวิหารดูโอโม่ สวยมาก ต่ายไปวันที่เขามีเทศกาลดนตรีพอดี ซึ่งจัดปีละครั้ง เรายืนดูเขาเซตเวทีแล้วอยากขึ้นโชว์ด้วยมาก

พอกลับจากทัวร์ยุโรปแล้ว ช่วงนี้คุณเตรียมงานอะไรอยู่บ้างไหม

ช่วงต้นของทัวร์ยุโรป คือวันที่ 4 มิถุนายน (2561) เราปล่อยเพลง “ซังได้ซังแล้ว” Lyrics Version ออกมาใน YouTube ต่ายเลยได้มีโอกาสนำเพลงซิงเกิลใหม่นี้ไปแสดงที่ยุโรปด้วย ตอนอยู่ที่นู่นก็ฟังทุกวัน รอลุ้นว่าผลตอบรับจากแฟนๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พอกลับไทยก็เริ่มเดินสายโปรโมต แต่คิวขึ้นโชว์ตามเวทีอาจจะไม่แน่นมากเพราะเป็นหน้าฝน จะเน้นโปรโมตตามสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ

ถามจากมุมของคนที่ไม่ได้ตามติดวงการเพลงลูกทุ่งเลย ปกติแล้ววงการนี้หลังจากปล่อยเพลงแล้ว เขาจะโปรโมตอย่างไรบ้าง

ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีแผนโปรโมตตามสเต็ปเลยค่ะ สมัยนั้นยอดขายจะเป็นยอดเทป ซีดี วีซีดี บริษัทจะวางแผนเลยว่า ปีนี้ศิลปินคนไหนจะออกบ้าง สมมติว่าเดือนนี้เป็นพี่ก๊อท (จักรพันธ์) เดือนต่อมาเป็นพี่นาง (ศิริพร อำไพพงษ์) เดือนต่อไปเป็นพี่ไมค์ (ภิรมย์พร) แล้วค่อยเป็นต่าย เป็นไผ่ (พงศธร) จะเรียงประมาณนี้ แล้วจะมีรายการวิทยุทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายมีเดียจะวางแผนแล้วพาเราไปทัวร์ มีออกรายการโทรทัศน์กับสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย ซึ่งพีอาร์แต่ละคนจะรับผิดชอบแตกต่างกัน อาจจะแจ้งข่าวให้สื่อสิ่งพิมพ์ก่อน แล้วค่อยไปรายการวิทยุ แล้วมารายการโทรทัศน์ แต่ว่าปัจจุบันด้วยความที่วิธีการเสพสื่อเริ่มเปลี่ยน ทุกวันนี้ใครทำได้เร็วคือได้เปรียบ หมายถึงว่า เราอาจไม่ต้องดูว่าคิวของใครต้องออกตอนไหนแล้ว เมื่อก่อนต้องดูกันเป็นภาพรวม คิดเผื่อว่าใครจะออกช่วงไหน เราจะชนเขาไหม พยายามไม่ชน แต่ทุกวันนี้ปล่อยได้เร็วก็ยิ่งได้เปรียบ โดยเฉพาะใน YouTube เราจะได้รู้เลยว่า เพลงที่ปล่อยออกมาฟีดแบ็กกลับมาเป็นยังไง ถ้ายังไม่ดีพอ เราก็เติมของใหม่ได้เลย

แล้วที่บอกว่าไปรายการวิทยุ คือยังมีไปสถานีวิทยุที่ต่างจังหวัดด้วยใช่ไหมคะ

ยังมีค่ะ แต่เป็นเฉพาะบางที่ อย่างบางทีเรามีงานที่จังหวัดนี้ ก็อาจแวะไปรายการวิทยุเพื่อช่วยกันโปรโมต แจ้งข่าวว่าเดี๋ยวต่ายจะมีคอนเสิร์ตนะ หรือบางสถานี เดี๋ยวนี้เขามีการจัด Facebook Live ขณะจัดรายการวิทยุด้วย เราก็แวะไปคุย ไปเจอกัน

ย้อนกลับมาถามเรื่องประวัติตอนเด็กหน่อย เด็กหญิงอรทัย ดาบคำ เป็นคนแบบไหน เริ่มรักการร้องเพลงตอนไหน

ตอนเด็กก็ซนตามประสาเด็กทั่วไป เท่าที่จำได้ก็มีเล่นกับเพื่อนแบบหัวร้างข้างแตกก็มี (หัวเราะ) แล้วโดยนิสัยจะเป็นเด็กที่ชอบอยู่กับผู้ใหญ่ ชอบฟังผู้ใหญ่เขาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง โดยเฉพาะฟังคุณยายเล่าเรื่องเก่าๆ เราฟังแล้วจินตนาการไปเรื่อย รู้สึกสนุกดี

ส่วนความชอบในการร้องเพลง ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว จำได้ว่าพ่อเล่นดนตรี เป่าขลุ่ย เราก็ซึมซับมา ส่วนแม่จะชอบพาร้องเพลงลูกทุ่ง โดยเฉพาะเพลงแม่ผึ้ง (พุ่มพวง ดวงจันทร์) เราจะได้ยินตั้งแต่เด็กเลย แล้วก็มีเพลงหมอลำ พอเริ่มประถมก็เริ่มฝึกร้องเพลงเอง ร้องตามวิทยุที่เขาเปิด หรือบางทียืมเทปของข้างบ้านมาฟัง มาฝึกร้องตาม

แล้วไปประกวดร้องเพลงบ้างไหม

ประกวดบ่อยเลยค่ะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้ ช่วงนั้นคิดแค่ว่าความสามารถที่เรามีคือการร้องเพลง ตอนมัธยม โรงเรียนอื่นเขามีประกวดร้องเพลงแล้วให้โรงเรียนเราเข้าร่วมได้ พอครูเสนอชื่อเรา เราก็ยินดีที่ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขัน ช่วงที่แข่งประกวดอย่างจริงจังคือช่วงมัธยมปลาย

จากชีวิตที่อุบลราชธานี แล้วคุณเข้ามากรุงเทพฯ ปีไหน

จบ ม.6 ปี 2542 ก็มากรุงเทพฯ เลย มากับแม่ แม่ก็ทำงานที่แคมป์คนงานก่อสร้าง ต่ายช่วยแม่ซักเสื้อผ้าคนงาน ระหว่างนั้นเรามีเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลายที่ลงมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนเรา เขาให้ที่อยู่ไว้ ช่วงนั้นเราเบื่อ เลยเขียนจดหมายหาเขา จากนั้นเขาเลยแวะมาหาแล้วชวนไปทำงานโรงงาน

อาชีพแรกในชีวิตของต่าย อรทัย คืออะไร

ก็น่าจะเป็นสาวโรงงาน เพราะช่วงก่อนนี้ที่มาช่วยแม่ที่แคมป์คนงานก่อสร้างเราทำระยะสั้นๆ เอง ไม่ได้ทำนาน

จากสาวโรงงาน แล้วคุณเดินทางมาสู่อัลบั้ม “ดอกหญ้าในป่าปูน” ได้ยังไง

ช่วงนั้นลาออกจากโรงงานโดยยังไม่ได้หางานใหม่ เราตระเวนสมัครงานในย่านอุตสาหกรรม สมัครไว้หลายโรงงาน ปรากฏว่าเราไม่ได้งานสักที่ (หัวเราะ) สุดท้ายตกงาน ทำยังไงดีล่ะ ห้องเช่าก็ต้องจ่าย น้ำไฟก็ต้องเสีย กินก็ต้องกิน จะกลับอุบลฯ ก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะถ้าจ่ายค่ารถกลับบ้าน แล้วจะกลับไปทำอะไรต่อ ตอนนั้นคิดหลายอย่างมาก เอายังไงดี นอนอยู่ห้อง กินแต่มาม่ากับปลากระป๋อง แล้วคิดว่า โอ๊ย ชีวิต (หัวเราะ) จนพี่บ่าวข้าวเหนียวกับพี่สาวบ้านเชียงที่เขาทำสถานีวิทยุติดต่อมา ก่อนหน้านี้เรารู้จักพี่เขา แล้วเขาบอกว่า ถ้าเรียนจบ ม.6 แล้วมาทำเพลงกัน แต่พอเรียนจบ พี่เขาติดต่อเราไม่ได้เลย เพราะเราลงมาทำงานกรุงเทพฯ จนกระทั่งแม่กลับบ้านไปเยี่ยมยายที่อุบลราชธานี มีโอกาสรับโทรศัพท์จากพี่บ่าวข้าวเหนียวและพี่สาวบ้านเชียง แม่เลยบอกว่า “ต่ายไม่ได้อยู่บ้าน เรียนจบ ม.6 แล้วไปทำงานที่กรุงเทพฯ” ก็แจ้งข่าวเขาไป 

สรุปว่าพี่เขารอเราอยู่ อยากให้มาทำเพลงด้วยกัน ตอนนั้นเราตกงานอยู่ก็รู้สึกเหมือนฟ้ามาโปรด เป็นจังหวะได้เข้าไปร้องเพลงแล้วทำอัลบั้ม พี่เขามีรายการวิทยุ AM ที่ ม.เกษตร กระจายเสียงออกต่างจังหวัด เราก็ทำเพลงกันเองแล้วโปรโมตในรายการ ทุกวันต่ายจะรับหน้าที่เป็นคนรับโทรศัพท์หลังไมค์ มีโอกาสโปรโมตอัลบั้มและโปรโมตตัวเองไปในตัว เวลามีคนโทร.มาก็จะพูดว่า “ต่าย อรทัย ค่ะ” แล้วก็จดชื่อเพลงที่เขาขอ คนโทร.มาจะรู้สึกว่าเขาได้คุยกับศิลปินที่มีชื่อในรายการ โชคดีที่เขาขอเพลงเราด้วย (ยิ้ม) ทำงานที่นั่นประมาณ 1 ปี พักอยู่กับพี่เขาเลย หลังจากเสร็จรายการเราก็เดินสายในช่วงตอนเย็น คือในสถานีวิทยุนี่จะมีจำหน่ายสินค้าที่เป็นสปอนเซอร์ในรายการด้วย เช่น ยาดองมะกรูด เราก็ไปโปรโมต ไปเจอแฟนเพลงด้วย ตามที่เขาโทร.มา “สั่งยาดองมะกรูดหน่อยนะคะ” เวลามีคนโทร.มาสั่งซื้อ เราก็จะจดรายการ แล้วตอนเย็นก็ไปทัวร์ เป็นการโปรโมตไปในตัว

อัลบั้มที่ทำกับทางสถานีวิทยุถือเป็นอัลบั้มแรกใช่ไหมคะ

น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นอัลบั้มเต็มเลย ชื่ออัลบั้ม “ลูกทุ่งโดนใจ ชุดที่ 1 ชุดฉันคนลูกทุ่ง” ชื่อยาวมาก (หัวเราะ) แล้วพี่บ่าวฯ กับพี่สาวฯ ก็นำเทปนี้ส่งให้เพื่อนที่อุบลฯ ที่เขาเป็นนักจัดรายการ คือพี่ดีเจแหมบ ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับครูสลา คุณวุฒิ เลยได้ส่งเทปให้ครูฟัง ซึ่งครูได้ฟังแล้วแต่เข้าใจผิดว่าต่ายคือ ธิดา นาจะหลวย ซึ่งเป็นคนละทีม ครูเลยไม่กล้าติดต่อกลับ เรียกว่าเข้าใจผิดกัน ก็ห่างหายไปนาน ไม่ได้รับการติดต่อเลย ซึ่งเราก็โปรโมตของเราไป จนสุดท้ายผ่านไปเป็นปีแล้ว พี่ดีเจแหมบเอาเทปไปให้ครูอีกที พูดว่า “ครู ซอยเพิ่นแหน่” (พูดอีสาน) ก็เล่าประวัติชีวิตต่ายให้ฟังว่าอยู่กับยาย พ่อแม่แยกทางกัน อยู่กับน้อง 3 คน จากนั้นเลยมีการนัดกันเกิดขึ้นครั้งแรก ครูอยากเห็นว่าเราหน้าตาเป็นยังไง อยากฟัง อยากพูดคุยว่าเป็นคนมีบุคลิกนิสัยแบบไหน ถ้าจำไม่ผิดคือนัดกันที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้าน MK เพราะครูบอกว่าไม่รู้จักร้านอื่นเลย (หัวเราะ) เจอกันครั้งแรก ครูก็ยังไม่ได้ให้คำตอบอะไร เหมือนเราต้องไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ก่อน ลองไปเทสต์เสียงดู ต้องผ่านการแคสต์งานเบื้องต้นทั้งหมดก่อน ปรากฏว่าเริ่มต้นจากตรงนั้นแหละค่ะ ก็เข้าไปแกรมมี่ แล้วผ่านกระบวนการทั้งหมดอย่างที่ครูเล่าจริงๆ

เป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ต้องทำอะไรบ้าง

เรียนร้องเพลง การแสดง เต้น เหมือนดูทักษะพื้นฐานเราว่าเป็นยังไงบ้าง และได้ฝึกร้องในห้องที่ทำเดโม่เพลงด้วย ตอนนั้นมีเป็นเพลงแรกที่เขาให้เรามาด้วย แล้วต้องฝึกให้เป็นเพลงต้นฉบับของตัวเองให้ได้ ตอนนั้นเรียนกับอาจารย์ไพรัตน์ ชูรัตน์ เพลงเดียวคือเรียนเป็นปีเลยค่ะ เรียกว่าเทียวจากห้องพักไปแกรมมี่จนร้องไห้เลยว่าเราจะเอายังไงดี

เพลงแรกที่ต้องฝึกร้องจนเป็นตัวเองนี้ชื่อเพลงอะไร

เพลงที่ฝึกร้องกับอาจารย์ไพรัตน์ ชูรัตน์ คือ “บ่ฮักบ่ต้องสงสาร” แต่ก็มีเพลงอื่นๆ อีกที่ครูแต่งให้ รวมถึงเพลงที่ครูท่านอื่นแต่งส่งมาให้ซ้อม เราก็ทยอยซ้อมอยู่ในห้องเดโม่ ฝึกไปเรื่อยๆ โปรดิวเซอร์คอมเมนต์อะไรมาเราก็จดไว้ไปหัดร้องต่อที่บ้าน “ร้องอย่างนี้ผิดนะ ร้องอย่างนี้ไม่ได้ ไปฝึกมาใหม่” ทำจนเรารู้สึกท้อ เพราะมันไม่ได้สักที ร้องไห้ก็มี วนเวียนสงสัยว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เป็นนักร้องแล้วเราจะไปรอดไหม ช่วงนั้นอยู่ห้องพักแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวมาก

อัลบั้มแรกในค่ายแกรมมี่โกลด์ คือ “ดอกหญ้าในป่าปูน” ประสบความสำเร็จเร็วเหมือนกัน คุณมองความสำเร็จนี้อย่างไร

คนที่อยู่ข้างนอกมองเข้ามาอาจจะรู้สึกว่าประสบความสำเร็จเร็วมาก แต่เราไม่รู้สึกว่าสำเร็จเร็วเลย คือในความรู้สึกคนอื่นอาจจะมองว่าชุดแรกแล้วดังเลย แต่เรารู้สึกว่าตัวเองสู้มานานมากกว่าเพลงหนึ่งจะเป็นที่รู้จัก เราต้องทัวร์และออกให้สัมภาษณ์เป็นปี ไม่รู้ว่าเพลงจะดังไม่ดัง มีคิวให้สัมภาษณ์ก็ไปหมดเลย ร้องเพลงโปรโมตก็ไป งานช่วยก็ไป โทรทัศน์หรือสื่อสิ่งพิมพ์มีอะไรเราก็ไปหมด เราทำงานจนไม่รับรู้ผลตอบรับน่ะค่ะ รู้แค่ว่าเหนื่อย แล้วมีอัลบั้ม 3 อัลบั้มต่อเนื่องกันเลย เหนื่อยจนไม่ได้กลับบ้านตลอด 3 ปี ตอนนั้นคิดว่า ชีวิตนักร้องเป็นอย่างนี้เองเหรอ จนกลับบ้านไปเจอยาย ก็ร้องไห้ เหมือนไม่ได้เจอกันมาเป็น 10-20 ปี

ตอนไหนที่เราเริ่มรับรู้ว่าคนชอบเรา

อยู่ในช่วงโปรโมตอัลบั้ม 2-3 นี่แหละค่ะ ช่วงนั้นเรากลับอุบลฯ เพื่อนรุ่นเดียวกันที่ยังเรียนไม่จบก็นัดกันไปเที่ยว เราก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อน ปรากฏมีแฟนเพลงมาเห็นเรา เป็นช็อตต่ายนั่งมอเตอร์ไซค์ในเมืองอุบลฯ ซึ่งเรื่องนี้ถึงผู้ใหญ่แล้วผู้ใหญ่เรียกเราไปคุย เขากลัวเราเป็นอันตราย เพราะยังเด็กวัยรุ่นอยู่ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราตกใจมาก ครูเลยอธิบายให้ผู้ใหญ่ฟังว่า “น้องเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองดัง มีคนรู้จักแล้ว” หลังจากนั้นเราก็เลยระวังตัวเองในหลายๆ อย่าง

คุณรู้สึกยังไงกับชื่อเสียงที่เข้ามาหาคุณ

ต่ายดีใจนะคะ ตั้งแต่ที่มีคนเปิดเพลงเราในวิทยุ พอได้ยินก็จะตื่นเต้นมาก ปกติเวลาขึ้นรถก็จะเปิดวิทยุฟังอยู่แล้ว พอดีเจพูดว่า “ศิลปินน้องใหม่…” เราก็จะลุ้นอยู่ตลอดว่าจะเป็นชื่อเราหรือเปล่า พอเปิดมาก็ใจเต้นตึกตัก มันเป็นอารมณ์ที่ตื่นเต้นจริงๆ

หลังความสำเร็จของ “ดอกหญ้าในป่าปูน” มีคนเรียกคุณว่า “ราชินีดอกหญ้า” รู้สึกยังไงกับคำนี้

โห “ราชินี” เป็นคำที่สูงมากนะคะ ก็รู้สึกขอบคุณ แต่จริงๆ ต่ายก็เป็นคนธรรมดานี่แหละค่ะ ขอบคุณที่แฟนเพลงยกคำนี้ให้ เป็นคำที่เรารู้สึกได้รับเกียรติจากแฟนเพลง รู้สึกขอบคุณกำลังใจที่ทุกคนมอบให้ ยิ่งเรียกด้วยคำนี้แล้ว เรายิ่งต้องดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตก็ระมัดระวังมากขึ้น

ต่าย อรทัย เดินทางบ่อยแค่ไหน

ตั้งแต่เป็นนักร้องเดินทางตลอดเลยค่ะ เรียกว่ารถคือบ้าน เดินทางตลอด ส่วนมากนอนโรงแรมมากกว่าบ้าน บ้านจริงๆ นี่ต่ายนอนน้อยมาก แล้วงานส่วนใหญ่จะอยู่เมืองไทยค่ะ เมืองนอกถ้าไปทัวร์ก็ไปช่วงหน้าฝน

แฟนเพลงส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มไหน อยู่ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดมากกว่ากัน

เฉลี่ยแล้วก็ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพลงของต่ายจะเป็นเพลงลูกทุ่งอีสาน ลูกทุ่งหมอลำ แฟนเพลงในกรุงเทพฯ ก็เป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดแล้วมาทำงานที่นี่

แล้วคุณมีทัวร์คอนเสิร์ตไปภาคอื่นนอกเหนือจากกรุงเทพฯ หรืออีสานไหม

มีค่ะ ก็ไม่ได้ทัวร์แค่ในกรุงเทพฯ หรือภาคอีสานอย่างเดียว อย่างภาคใต้ก็ไปทัวร์บ่อยมาก ภาคเหนือก็เช่นกัน

ตลอดชีวิตการทำงานของต่าย อรทัย เพลงไหนที่แทนภาพชีวิตของผู้หญิงชื่ออรทัย ดาบคำ ได้ดีที่สุด

น่าจะเป็นเพลง “ดอกหญ้าในป่าปูน” อาจจะไม่ใช่ชีวประวัติเรา แต่มันสะท้อนชีวิตเราเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ครูเขาแต่งมาเพื่อเรา อยากจะให้เป็นยี่ห้อของเราตั้งแต่แรกเลย พอคนรู้จักต่าย อรทัย ภาพติดก็คือ “ดอกหญ้าในป่าปูน” เหมือนเป็นภาพเดียวกันมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น เหมือนเกิดมาพร้อมกับเพลงนี้ พอจะโชว์อะไรก็ตาม มีอัลบั้มใหม่ก็ตาม แฟนเพลงก็ไม่อยากให้ต่ายหนีไปจากกลิ่นอายแบบนี้

ครั้งหนึ่ง ซอนมี อดีตสมาชิกวง Wonder Girls ก็เคยอึดอัดจนมีข่าวว่าเธอไม่อยากร้องเพลงในตำนานอย่าง “Nobody” อีกแล้ว คุณไม่อึดอัดบ้างเหรอคะ เคยเบื่อบ้างไหม

คงเพราะเพลงนี้ (ดอกหญ้าในป่าปูน) ครูสลาแต่งขึ้นจากความเป็นตัวตนของเราด้วยมั้งคะ ทำให้เราไม่มีความรู้สึกเบื่อหรืออึดอัดเกิดขึ้นเลย แต่ว่าถ้าเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตที่ซ้ำๆ เดิมๆ อาจจะมีความรู้สึกนั้นบ้าง แต่ว่าถ้าพูดถึงคอนเซ็ปต์ที่ตัวเองได้รับ และแนวเพลงที่เป็นแบบนี้ ด้วยความที่ครูเขียนมาจากตัวตนของต่าย ชีวิตของต่าย อันนี้คือไม่ได้อึดอัดเลย

คุณเคยเล่นรับเชิญในละครมาก่อนบ้าง แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เราได้เห็นคุณในละครยาวเรื่อง “ดาวจรัสฟ้า” รู้สึกอย่างไรกับการแสดงคะ ติดใจบ้างไหม

ยังไม่เรียกว่าติดใจ แต่ถ้ามีโอกาสก็ยินดี ถ้าเวลาลงตัวและเราสามารถทำได้โดยไม่กระทบกับคอนเสิร์ต เราก็ยินดีพิจารณา คงต้องดูกันหลายอย่าง เพราะว่าภาพลักษณ์ของการเป็นนักร้องกับการเป็นนักแสดงก็ค่อนข้างสำคัญอยู่เหมือนกัน อย่างโปรดิวเซอร์หรือครูสลาเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้พอสมควร ว่าเราไปแสดงแล้วฟีดแบ็กจะบวกหรือลบ เพราะในมุมของนักสร้าง เขาสร้างเราแล้วก็อยากให้แฟนเพลงชื่นชม เรื่องของงานเพลงก็ไม่ใช่ว่ามีแต่คนชอบ คนไม่ชอบก็มี แต่ในมุมนักแสดง ครูกลัวว่าจะติดลบมากกว่าหรือเปล่า เราเลยต้องดูรายละเอียดหลายๆ อย่าง

เห็นคุณไปถ่ายรายการไลฟ์สไตล์ “ต่าย อรทัย สะบายดี” ที่ลาว และจะออกฉายทาง LINE TV การถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเราน่าจะได้เห็นมุมไหนของต่าย อรทัย ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนไหม

รายการนี้เป็นไลฟ์สไตล์ มาจากตัวต่ายเลย พี่ที่ทำรายการเขาถามต่ายว่าชอบอะไร ต่ายชอบหลายอย่าง แต่ที่ชัดเจนคือ ต่ายชอบเที่ยวธรรมชาติ บางทีเราเจอความเจริญ ความแออัดจากรถรา เราก็อยากออกไปเจอธรรมชาติบ้าง เลยกลายเป็นรายการท่องเที่ยวธรรมชาติแบบต่าย อรทัย ที่เลือกไปที่ลาว เพราะเคยไปเล่นคอนเสิร์ตที่นั่น แต่ไม่มีโอกาสเที่ยวเลย พอมีโอกาสเลยขอไป ได้เที่ยว 13 วันเลย จากหลวงพระบาง ไล่ลงมาวังเวียง เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ ไล่จากเหนือลงใต้เลย 

ตอนถ่ายรายการเราเป็นตัวเองเต็มที่เลยไหม

เต็มที่เลยค่ะ เพราะเราพูดภาษาเดียวกันเลย เว้าลาวใส่กัน แต่ถ้าขึ้นไปหลวงพระบางเขาจะพูดเหน่อๆ หน่อยนึง ก็มีแฟนเพลงมาทัก เพราะเคยทัวร์คอนเสิร์ตที่ลาวมาก่อนหลายที่อยู่ 

เห็นคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า คุณชอบดูหนังสือ และสนใจเรื่องแฟชั่นเหมือนกัน มีลุคไหนที่ต่าย อรทัย อยากลองแต่งดูบ้างไหม แล้วในแง่สไตล์การแต่งตัว คุณยึดถือใครเป็นแบบอย่างบ้าง

จริงๆ เป็นคนชิลๆ สบายๆ นะคะ และเวลาโปรโมตงานก็อาจจะไม่ได้แต่งตัวมาก เพราะลุคของเราเป็นอย่างนี้ อาจจะได้แต่งตัวหน่อยช่วงเข้าร่วมงานประกาศรางวัล แต่นานๆ ทีค่ะ ต่ายเลยไม่รู้ว่าอยากแต่งลุคไหน ปกติไปเที่ยวก็ใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีน แต่ชอบดูหนังสือ นิตยสาร ดูดาราศิลปินแต่งตัว ดูเยอะมาก ชอบ แต่เราแต่งไม่ได้ (หัวเราะ)

ถ้างั้นในแง่แฟชั่นการแต่งตัว คุณตาม IG ใครบ้าง

ที่เป็นแนวเซอร์ๆ หน่อย ก็จะเป็น ยิปโซ ยิปซี และเต้ย จรินทร์พร

เพลงที่ต่าย อรทัย จะเปิดฟังในวันว่าง

แล้วแต่อารมณ์เลยค่ะ ถ้าขับรถเปิดวิทยุ แล้วไม่มีอะไรฟังก็จะปิดเลย แต่บางทีจะเปิดคลื่นภาษาอังกฤษทิ้งไว้ คือ FM 107 เป็นเพลงฝรั่ง ฟังไม่รู้เรื่องหรอก (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เราอยู่กับเพลงลูกทุ่งตลอด บางทีต้องเปลี่ยนบรรยากาศ ขณะที่ถ้าไปร้านอาหาร เราจะชอบอยู่เงียบๆ 

หลายคนขนานนามคุณว่าเป็นนักร้องลูกทุ่งพอเพียง อยากรู้ว่าของที่แพงที่สุดที่คุณเคยซื้อคืออะไร

อะไรดี (คิด) ที่ดินน่าจะแพงสุดแล้วค่ะ ไล่ลงมาคือรถ กระเป๋าก็ซื้อแพงอยู่ หลักหมื่น เป็นแฮนด์เมดของไทยค่ะ ซื้อที่ภาคเหนือ แล้วก็จะมีแว่นตาและนาฬิกาที่เป็นของยี่ห้อ ซึ่งซื้อมาแล้วเก็บเข้าตู้ไว้ ไม่ได้ใส่เสียที (หัวเราะ) 

ถ้าชีวิตนี้ไม่ได้เป็นนักร้อง คุณอยากทำอะไร

นึกภาพไม่ออกเหมือนกันนะคะว่า คิดว่าถ้าเราไม่เจอคนที่สนใจเสียงร้องเราแล้วมาชวนเป็นนักร้องอย่างทุกวันนี้ คงยังทำงานโรงงานอยู่ หรืออาจจะทำงานบริษัท และอาจจะมีครอบครัวมีลูกไปแล้วก็ได้ คงมีชีวิตเหมือนเพื่อนๆ ที่แต่งงาน แล้วทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ อยู่ต่างจังหวัด 

มีวิธีปลุกใจยังไงเวลาเหนื่อยล้า

บางทีถ้าเราทำอะไรไม่ได้ คุยกับใครไม่ได้ ถ้าสุดจริงๆ มีเรื่องประดังประเดเข้ามาหลายเรื่องแล้วหาทางออกไม่ได้ ก็มีเผลอร้องไห้เหมือนกันค่ะ แต่เชื่อว่าคงไม่ได้มีแค่เราที่เป็นอย่างนี้ ต่ายก็จะเลือกอยู่กับตัวเองสักพักหนึ่ง จะร้องไห้ ซึมเศร้า โศก จมอยู่บ้านไม่ยอมไปไหน ก็เอาให้มันสุดๆ ไปเลย เพราะบางทีก็สังเกตตัวเองว่า พอร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว เราจะคิดได้ว่ามันไม่มีประโยชน์ เหนื่อยจะร้องแล้ว ก็จะลุกขึ้นมาทำนู่นทำนี่ แล้วสักพักเบื่อที่จะอยู่บ้าน ก็จะออกไปข้างนอก โทร.หาเพื่อน ชวนกันไปเที่ยว ไปไหว้พระ ปรึกษาผู้ใหญ่ที่เราไว้ใจ หาจุดยืนตัวเองให้ได้ แล้วค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ก้าวต่อไป